วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การค้นหาข้อมูลด้วย search engine

Search
            นโลกไซเบอร์สเปซมีข้อมูลมากมายมหาศาล การที่จะค้นหาข้อมูลจำนวนมากมายอย่างนี้เราไม่อาจจะคลิกเพื่อค้นหาข้อมูลพบได้ง่ายๆ จำเป็นจะต้องอาศัยการค้นหาข้อมูลด้วยเครื่องมือค้นหาที่เรียกว่า Search Engine เข้ามาช่วยเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลมีมากมายหลายที่ทั้งของคนไทยและต่างประเทศ

24hrsความหมาย/ประเภทของ Search Engine
            การค้นหาข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่เบ็นจำนวนมาก ถ้าเราเปิดไปทีละหน้าจออาจจะต้องเสียเวลาในการค้นหา และอาจหาข้อมูลที่เราต้องการไม่พบ การที่เราจะค้นหาข้อมูลให้พบอย่างรวดเร็วจะต้องใช้เว็บไซต์สำหรับการค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า Seaech Engine Site ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ ผู้ใช้งานเพียงแต่ทราบหัวข้อที่ต้องการค้นหาแล้วป้อน คำหรือข้อความของหัวข้อนั้นๆ ลงไปในช่องที่กำหนด คลิกปุ่มค้นหา (หรือกดปุ่ม Enter) เท่านั้น รอสักครู่ข้อมูลอย่างย่อๆ และรายชื่อเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องจะปรากฏให้เราเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ทันที

Google Yahoo

            Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภทของ Search Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้นการที่คุณจะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search นั้น อย่างน้อยคุณจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่คุณเข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป ที่นี้เราลองมาดูซิว่า Search Engine ประเภทใดที่เหมาะกับการค้นหาข้อมูลของคุณ

Siamguru Sanook

  1. Keyword Index   เป็นการค้นหาข้อมูล โดยการค้นจากข้อความในเว็บเพจที่ได้ผ่านการสำรวจมาแล้ว จะอ่านข้อความ ข้อมูล อย่างน้อยๆ ก็ประมาณ 200-300 ตัวอักษรแรกของเว็บเพจนั้นๆ โดยการอ่านนี้จะหมายรวมไปถึงอ่านข้อความที่อยู่ในโครงสร้างภาษา HTML ซึ่งอยู่ในรูปแบบของข้อความที่อยู่ในคำสั่ง alt ซึ่งเป็นคำสั่งภายใน TAG คำสังของรูปภาพ แต่จะไม่นำคำสั่งของ TAG อื่นๆ ในภาษา HTML และคำสั่งในภาษา JAVA มาใช้ในการค้นหา วิธีการค้นหาของ Search Engine ประเภทนี้จะให้ความสำคัญกับการเรียงลำดับข้อมูลก่อน-หลัง และความถี่ในการนำเสนอข้อมูลนั้น การค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร แต่หากว่าคุณต้องการแนวทางด้านกว้างของข้อมูล และความรวดเร็วในการค้นหา วิธีการนี้ก็ใช้ได้ผลดี
     
  2. Subject Directories   การจำแนกหมวดหมู่ข้อมูล Search Engine ประเภทนี้ จะจัดแบ่งโดยการวิเคราะห์เนื้อหา รายละเอียด ของแต่ละเว็บเพจ ว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยการจัดแบ่งแบบนี้จะใช้แรงงานคนในการพิจารณาเว็บเพจ ซึ่งทำให้การจัดหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนจัดหมวดหมู่แต่ละคนว่าจะจัดเก็บข้อมูลนั้นๆ อยู่ในเครือข่ายข้อมูลอะไร ดังนั้นฐานข้อมูลของ Search Engine ประเภทนี้จะถูกจัดแบ่งตามเนื้อหาก่อน แล้วจึงนำมาเป็นฐานข้อมูลในการค้นหาต่อไป การค้นหาค่อนข้างจะตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และมีความถูกต้องในการค้นหาสูง เป็นต้นว่า หากเราต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ Search Engine ก็จะประมวลผลรายชื่อเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ล้วนๆ มาให้คุณ
     
  3. Metasearch Engines   จุดเด่นของการค้นหาด้วยวิธีการนี้ คือ สามารถเชื่อมโยงไปยัง Search Engine ประเภทอื่นๆ และยังมีความหลากหลายของข้อมูล แต่การค้นหาด้วยวิธีนี้มีจุดด้อย คือ วิธีการนี้จะไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคำประเภท Natural Language (ภาษาพูด) ดังนั้น หากคุณจะใช้ Search Engine แบบนี้ละก็ ขอให้ตระหนักถึงข้อบกพร่องเหล่านี้ด้วย
     
       
Introduction
    ในโลกยุคอินเทอร์เน็ทในปัจจุบันนี้มีข้อมูลมากมายมหาศาล การที่จะค้นหาข้อมูลจำนวนมากมายอย่างนี้เราไม่อาจจะคลิกเพื่อค้นหาข้อมูลพบได้ง่ายๆ จำเป็นจะต้องอาศัยการค้นหาข้อมูลด้วยเครื่องมือค้นหาที่เรียกว่า Search Engine เข้ามาช่วยเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลมีมากมายหลายที่ทั้งของคนไทยและต่างประเทศ ความหมาย/ประเภทของ Search Engine การค้นหาข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าเราเปิดไปทีละหน้าจออาจจะต้องเสียเวลาในการค้นหา และอาจหาข้อมูลที่เราต้องการไม่พบ การที่เราจะค้นหาข้อมูลให้พบอย่างรวดเร็ว จะต้องใช้เว็บไซต์สำหรับการค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า Search Engine Site ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ ผู้ใช้งานเพียงแต่ทราบหัวข้อที่ต้องการค้นหาแล้วป้อน คำหรือข้อความของหัวข้อนั้นๆ ลงไปในช่องที่กำหนด Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภทของ Search Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้น การที่จะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search นั้น อย่างน้อยจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่เข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป การเลือกใช้เครื่องมือในการค้นหาจะต้องเข้าใจว่า ข้อมูลที่ต้องการค้นหานั้นมีลักษณะอย่างไร มีขอบข่ายกว้างขวางหรือแคบขนาดไหน แล้วจึงเลือกใช้เว็บไซต์ค้นหาที่ให้บริการตรงกับความต้องการของเรา
 
 
 

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สัญลักษณ์ของป้ายผ้าสำหรับการดูแลรักษาเสื่อผ้า

สัญลักษณ์สากลของป้ายสำหรับการดูแลรักษาเสื้อผ้า

สัญลักษณ์สากลของป้ายสำหรับการดูแลรักษาเสื้อผ้ามีอยู่ 5 รูปแบบ




รูปอ่างสำหรับซัก แสดงกระบวนการซัก (โดยใช้มือหรือเครื่องซักผ้าก็ได้)
รูปสามเหลี่ยม แสดงกระบวนการฟอกขาวโดยใช้คลอรีน
รูปเตารีด แสดงกระบวนการรีดผ้า
รูปวงกลม แสดงกระบวนการซักแห้ง
รูปวงกลมในสี่เหลี่ยม แสดงกระบวนการ ทำให้ผ้าแห้ง หลังจากซัก

สัญลักษณ์สากลของกระบวนการซัก

ซักผ้าฝ้าย (ไม่มีขีดด้านล่าง) กระบวนการซักผ้าด้วยเครื่องแบบปกติและกระบวนการปั่นผ้าให้แห้งแบบปกต
ซักผ้าใยสังเคราะห ์(มีขีดหนึ่งขีด) กระบวนการซักผ้าแบบระมัดระวัง
และกระบวนการปั่นผ้าให้แห้งแบบระมัดระวัง
ซักผ้าใยขนสัตว์ (มีขีดสองขีด) หมายถึง กระบวนการซักผ้าและปั่นแห้ง ที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง
สัญลักษณ์สากลของอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการซักผ้า





ซักผ้าฝ้ายสีขาวและผ้าลินินสีขาว (ปราศจากการตกแต่งชนิดอื่น ๆ
ซักผ้าลินิน หรือ วิสโคส (ปราศจากการตกแต่งชนิดอื่น ๆ ) เมื่อสีที่ย้อมทนทานได้ ณ.อุณภูมิ 60'C
ซักผ้าไนลอน ผ้าใยผสมฝ้ายกับพอลิเอสเตอร์ ผ้าฝ้าย หรือผ้าวิสโคส ที่มีการตกแต่งพิเศษ
ผ้าใยผสมฝ้ายกับอะไครลิก ซักผ้าฝ้าย ลินิน หรือวิสโคส เมื่อสีที่ย้อมทนทานได้ ณ อุณภูมิ 40'c แต่ไม่ใช่ 60' c
ซักผ้าอะไครลิก ผ้าอะซิเตด ผ้าไตอะซิเตด รวมถึงผ้าใยอื่น ๆ ที่นำมาผสมกับใยขนสัตว
์ผ้าใยผสมกับโพลิเอสเตอร์ กับขนสัตว์
ซักผ้าขนสัตว์ ผ้าใยผสมขนสัตว์กับใยไหม
ซักผ้าด้วยมือ
ลักษณ์สากลของกระบวนการีดผ้า



200'C ผ้าลินิน ผ้าฝ้าย ผ้าวิสโคส์ Hot iron
150'C ผ้าใยผสมโพลิเอสเตอร์ ผ้าขนสัตว์ Warm iron
110'C ผ้าอะไครลิก ผ้าไนลอน ผ้า อะซิเตด ผ้าโพลิเอสเตอร์ Cool iron
ห้ามรีดด้วยเตารีด เพราะจะทำให้เส้นใยถูกทำลายได้ Do not iron
สัญลักษณ์สากลของกระบวนการซักแห้ง






เสื้อผ้าสำเร็จรูปนี้สามารถจะซักแห้งได้ในตัวทำละลายทุกชนิด
เสื้อผ้าสำเร็จรูปนี้สามารถจะซักแห้งใน เปอร์คลอโรเอทธีลีน ตัวทำละลาย R113 น้ำมันก๊าด และตัวทำละลาย R11
เสื้อผ้าสำเร็จรูปนี้จะมีความว่องไวกับตัวทำละลายที่กล่าวไว้ในสัญลักษณ์ ตัวที่สอง (P)
แต่จะต้องระมัดระวังการเติมน้ำในการซัก
ห้ามซักแห้งโดยเด็ดขาด
อบผ้าด้วยเครื่องรบความร้อนสูง
อบผ้าด้วยเครื่องความร้อนต่ำ
ห้ามอบผ้าด้วยเครื่องอบแห้ง

การเลือกซื้อเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย

การเลือกเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับบุคลิกภาพ

การแต่งกายของสาววัยรุ่นในปัจจุบันได้รับอิทธิพลจากมหาประเทศผู้นำแฟชั่นทั้งหลาย ทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายแนวให้เลือกแต่งตามใจชอบ อุปสรรคของการแต่งกายให้สวยงามคงไม่ใช่ด้วยรูปแบบที่มากมายจนไม่รู้ว่าจะเลือกอันไหนดี แต่เป็นเรื่องของสรีระที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน รูปลักษณ์ที่ดีจึงขึ้นอยู่กับการแต่งตัวให้เหมาะสมกับรูปร่างของตนเองมากกว่าคิดแต่จะก้าวล้ำตามกระแสแต่เพียงอย่างเดียว วันนี้ผู้เขียนจึงอยากแนะนำเทคนิคเล็กๆ ในการแต่งตัวให้เข้ากับบุคลิกของแต่ละคน ดังนี้



หุ่นอวบอ้วนอึ๋ม

คนที่มีหุ่นอวบอ้วนอึ๋มไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจกับการเลือกเสื้อผ้าอย่างที่ผ่านมาีอีกแล้ว เพราะผู้เขียนมีทริคเล็กๆ สำหรับอำพรางหุ่นให้ดูผอมเพรียวขึ้นได้ คนอ้วนควรเลือกใส่เสื้อผ้าโทนสีเข้ม เช่น สีดำ สีน้ำตาล สีน้ำเงิน สีกรมท่า ฯลฯ หากเสื้อผ้าตัวนั้นมีลายทาง ไม่ควรเลือกเป็นลายทางตามขวางมาใส่ (ลายทางในแนวนอน) เพราะจะเป็นการเน้นความกว้างซึ่งก็คือความอ้วนให้เด่นชัดเข้าไปอีก ควรเลือกลายทางตามยาว (ลายทางในแนวดิ่ง)ซึ่งจะเน้นความยาวของลำตัว ทำให้ดูหุ่นเพรียวขึ้นได้ อีกอย่างที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือ เสื้อผ้ารัดติ้ว (จะทำให้เนื้อปริ้นออกมามองแล้วคล้ายแหนม) และเสื้อผ้าหลวมโคร่ง (จะทำให้ดูตัวใหญ่เหมือนยักษ์) ดังนั้นควรใส่เสื้อผ้าพอดีตัวเข้ารูปจะดีกว่า
คนอ้วนที่ต้องการเลือกเสื้อผ้าที่ใส่แล้วดูผอมเพรียวและสูงขึ้นควรเลือกใส่กางเกงขายาวแบบขาตรง สวมเสื้อคอวี สีของเครื่องแต่งกายทั้งเสื้อผ้า กางเกง รองเท้า ให้เป็นไปในโทนสีเดียวกัน จะช่วยให้หุ่นเพรียวสูงขึ้นไ้ด้ แต่ต้องหลีกเลี่ยงกางเกงเอวสูง แม้ว่าจะช่วยทำให้ดูช่วงขายาวได้ก็จริง แต่สำหรับคนอ้วนถือเป็นข้อห้าม เพราะจะเป็นการเน้นเนื้อส่วนเกินบริเวณหน้าท้องให้เด่นชัดขึ้น สำหรับปัญหาสะโพกใหญ่ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการสะสมไขมันส่วนเกินเอาไว้ก็มีวิธีแก้ไขโดยเลือกใส่กางเกงเอวต่ำ (ไม่ควรต่ำเกินไปจนดูโป๊) สีเข้ม ช่วยอำพรางสะโพกได้ แต่มีข้อห้ามอยู่ว่าต้องไม่ฟิตจัดหรือมีกระเป่าใบใหญ่ๆตรงบั้นท้าย เพราะจะเป็นการเน้นสะโพกให้ดูใหญ่ขึ้นไปอีก


หุ่นผอมเพรียว

คนผอมมีหลายแบบ ทั้งผอมเพรียวสมส่วน (จัดว่าโชคดีเพราะเลือกเสื้อผ้าได้ง่าย) ผอมเตี้ย ผอมแต่ช่วงตัวยาว ผอมแต่ช่วงตัวสั้น ผอมแบบไร้สะโพก ฯลฯ แต่ละแบบก็เป็นปัญหาในการเลือกเสื้อผ้าไม่ต่างกับคนที่มีหุ่นอวบอ้วนเลย แต่ถ้ารู้จักเทคนิคในการเลือกเสื้อผ้าให้เข้ากับหุ่นของตัวเองดังที่ผู้เขียนกำลังจะนำเสนอในวันนี้ ก็สามารถแต่งตัวให้ดูดีได้เหมือนกัน


คนตัวเตี้ย

กางเกงที่เหมาะกับคนตัวเตี้ยคือกางเกงเอวสูง ขาตรง จะเป็นขายาวหรือขาสั้นก็ได้ตามใจชอบ (แต่ถ้าเป็นขายาวจะช่วยให้ช่วงขาที่สั้นดูยาวเรียวขึ้นได้มากกว่าขาสั้น) กางเกงเอวสูง ขาตรง จะช่วยทำให้ช่วงขาดูยาวขึ้น เน้นแบบเรียบๆ สีซีด ไม่มีลาย จะดีกว่า


คนที่มีช่วงตัวสั้น


คนที่มีชาวงตัวสั้นกว่าขาจนเห็นได้ชัดเหมาะกับกางเกงเอวต่ำ พอดีตัว ไม่ต่ำหรือฟิตเกินไปจนดูโป๊ ช่วยทำให้ช่วงตัวดูยาวขึ้นได้ ที่สำคัญกางเกงเอวต่ำยังช่วยอำพรางเนื้อส่วนเกินบริเวณหน้าท้องได้อีกด้วย


คนที่มีช่วงตัวยาว

คนที่มีช่วงตัวยาวจนเห็นได้ชัด เหมาะกับกางเกงเอวสูง ขาตรง นอกจากจะได้โชว์หุ่นผอมเพรียวแล้ว ยังช่วยทำให้ช่วงขาดูยาวขึ้นได้


ไร้สะโพกหุ่นผอม

คนที่ไม่มีสะโพกมักจะดูไหล่กว้าง จัดว่าเป็นหุ่นแบบแอ๊ปเปิ้ล ข้อดีของคนที่มีหุ่นแบบนี้คือจะมีต้นขาที่เรียวเล็กสวยงาม ดังนั้นถ้าสวมกระโปรงสั้น (ไม่ใช่สั้นจุ๊ดจู๋นะ) เหนือเข่าเล็กน้อย แบบจีบรอบตัวคล้ายกระโปรงพลีท จะทำให้ดูมีสะดพกมากขึ้น ถ้าต้องการใส่กางเกง ต้องหลีกเลี่ยงกางเกงเอวต่ำกว่าสะดือ เพราะจะทำให้เห็นได้ชัดว่าไม่มีสะโพก และกางเกงเอวสูงก็ห้ามเพราะถูกออกแบบมาเพื่อเน้นสัดส่วนช่วงขา หากคนไม่มีสะโพกใส่กางเกงเอวสูงก็คงไม่เหมาะแน่ ดังนั้นควรเลือกใส่กางเกงเอวต่ำที่พอดีตัว ไม่ฟิตจนเกินไป เลือกที่มีกระเป๋าหลังหรือกระเป๋าข้างจะช่วยเสริมให้สะโพกดูหนาขึ้นได้ ส่วนช่วงบ่าที่ดูกว้างให้แก้ไขโดยการสวมเสื้อที่พอดีตัว ไม่ฟิตเกินไป ไม่หลวงรุ่มร่ามเกินไปเป็นพอ

 
การเลือกเสื้อผ้าให้เข้ากับรูปร่าง


การเลือกเสื้อผ้า ไม่ใช่แต่จะตามเทรนด์อย่างเดียว ต้องดูว่าแต่งออกมาแล้วเหมาะกับรูปร่างของเราด้วย เพื่อให้สวยไร้ที่ติในทุกสถานการณ์ ซึ่งแบ่งรูปร่างออกได้เป็น 4 แบบ ลองดูซิว่า รูปร่างของเราเป็นแบบใหนและมีหลักเกณฑ์ในการเลือกเสื้อผ้าอย่างไรบ้าง
สาวร่างเล็ก
โชคดีของสาวร่างเล็ก เพราะคุณสามารถสวมใส่เสื้อผ้าได้หลากสไตล์ ถ้าต้องการแต่งตัวแบบสวยหรูดูสง่าขาเรียวยาว ก็ให้เลือกกระโปรงทรงตรง ส่วนเสื้อท่อนบนควรมีขนาดพอดีตัว กระโปรงสั้นทำให้สาวร่างเล็กดูเป็นเด็กน้อย ไม่ใช่สาวพราวเสน่ห์อย่างที่หวังไว้ ถ้าชอบชุดมีลวดลายก็ควรมีขนาดพอเหมาะและไม่โดดเด่นจนเกินไป เลือกเข็มขัดเส้นบางๆ สีตัดกับชุด ไม่ถึงกับต้องใช้สีตรงข้ามแบบสุดขั้ว เป็นสีที่พอจะเบรกกันได้จะดูเก๋กว่า เลือกรองเท้าส้นสูงประมาณ 2 นิ้วครึ่ง หรือ 3 นิ้วก็พอ ไม่ต้องสูงมาก
สาวร่างใหญ่
ชุดเดรสทั้งตัวแบบรัดรูปไม่ค่อยเหมาะกับสาวร่างใหญ่ ควรเลือกชุดแยกชิ้นที่พอดีตัว สวมใส่แล้วรู้สึกสบายไม่รัดจนแน่น กระโปรงยาวเลยเข่าเหมาะที่สุด อาจจะเลือกระโปรงย้อนยุค ยุค 50 สีเข้มมาใส่ สาวร่างใหญ่มักจะพยายามเลือกเสื้อผ้าแบบที่ปิดบังรูปร่าง แต่ยิ่งพยายามพรางอยู่ในชุดมิดชิดมากเท่าไหรก็จะยิ่งทำให้ดูตัวโตขึ้นเท่า นั้น สู้เลือกเปิดเผยจุดเด่นบ้างจะดีกว่า แบบว่าโชว์น้อยๆ ชวนมอง  ถ้าเลือกชุดมีลายควรเลือกลายอ่อนๆ และอย่าให้มีหลากสีสันมากเกินไป    เลือกรองเท้าส้นสูงปานกลางเพื่อช่วยให้น่องดูเรียวยาวและช่วยส่งให้ชุดที่ ใส่อยู่ดูหรูขึ้น
สาวทรงลูกแพร์
ปรับความสมดุลของรูปร่างด้วยชุดเดรสคอวี หรือตกแต่งส่วนตัวเสื้อด้านบน เช่น ปักเลื่อม หรือใช้ผ้าสีสดหรือสีสว่าง โดยเฉพาะผ้าเนื้อมันวาวอย่างผ้าไหม ก็จะช่วยพรางรูปร่างของคุณได้  ถ้าชอบลายอาจเลือกเนื้อผ้าที่มีลวดลายสะดุดตาเล็กน้อย ใส่ตุ้มหูและรองเท้าสีเดียวกันเพื่อช่วยให้ดูกลมกลืน รองเท้าสูง 2 นิ้วครึ่งเหมาะกับรูปร่างแบบนี้และช่วยให้ขาดูเรียวขึ้น กระโปรงทรงเอ เหมาะมากสำหรับการพรางสะโพกให้สาวหุ่นลูกแพร์มาก หรืออาจพรางได้ด้วยการสวมเสื้อกับกระโปรงแยกชิ้นและเสื้อยาวคลุมสะโพก กระโปรงเลยเข่าเล็กน้อยเน้นโทนสีธรรมชาติ
สาวผอมสูง
เลือกกระโปรงยาวใต้เข่า ผ่าข้างอวดขาเรียวยาว กระโปรงที่สั้นมากๆ จะทำให้ขาดูยาวมากไป สำหรับเนื้อผ้าควรเป็นเนื้อผ้าที่ทิ้งตัวดีและเลือกผ้าสีอ่อน เลือกเข็มขัดเส้นหนาจะช่วยพรางให้ดูสมส่วนมากยิ่งขึ้น สาวผอมสูงอาจไม่ต้องการความสูงอีกแล้ว แต่อย่าสวมรองเท้าส้นราบติดพื้นในโอกาสพิเศษ ควรหารองเท้าส้นสูงซักเล็กน้อย ช่วยให้สวนเป็นผู้หญิงและช่วยให้เรียวขาน่ามอง

 การเลือกใช้เสื้อผ้าให้เหมาะสมกับโอกาสที่ใช้สอย

การเลือกใช้เสื้อผ้าให้เหมาะสมกับโอกาสและกาลเทศะในการใช้งาน มีดังนี้

1) เสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ไปงานมงคล หรืองานรื่นเริง เช่น งานแต่งงาน งานวันเกิด งานพบปะสังสรรค์กับเพื่อน ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีสดใส แบบและลวดลายผ้าเหมาะสมกับรูปร่างและวัยของผู้สวมใส่ ถ้าเป็นงานกลางคืนควรใส่เสื้อผ้าที่มีรูปแบบหรูหรา อาจตกแต่งด้วยเลื่อมที่มีประกายแวววาว เนื้อผ้าควรมีลักษณะมันวาว พลิ้วสวย เป็นต้น

2) เสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ไปเที่ยว เช่น ไปเที่ยวชายทะเล ไปสวนสนุก ไปเที่ยวตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ควรเป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วเกิดความคล่องตัว เคลื่อนไหวได้สะดวกสบาย แต่ไม่ควรสั้นหรือรัดรูปจนเกินไป รูปแบบมีลักษณะตามสมัยนิยม

3) เสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ไปเล่นกีฬา ควรเลือกชุดกีฬาและรองเท้าให้เหมาะสมกับกีฬาแต่ละประเภท เนื้อผ้าของเสื้อผ้า ควรมีความยืดหยุ่นดี ระบายอากาศได้ง่าย สวมใส่สบาย สะดวก และปลอดภัย ทั้งในขณะเล่นและพักผ่อนอิริยาบท

4) เสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ไปงานศพ ควรเลือกเสื้อผ้าที่เรียบและสุภาพ ซึ่งประเพณีไทยนิยมใส่เสื้อผ้าที่มีสีดำหรือขาวเท่านั้น

5) เสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ไปติดต่อสถานที่ราชการ ควรเลือกเสื้อผ้าที่สุภาพ เรียบร้อย เพื่อให้ดูสง่างาม น่าเชื่อถือ และเป็นการเคารพสถานที่และบุคคลที่เราจะไปติดต่อด้วย

วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์

  การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
           เทคโนโลยีคมนาคมและการสื่อสารนำมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานทางธุรกิจโดยมีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการดังนี้
          1.  เพื่อการสื่อสารทางธุรกิจที่ดีขึ้น
          2.  เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
          3.  เพื่อการกระจายข้อมูลที่ดีขึ้น
          4.  เพื่อการจัดการกระบวนการธุรกิจที่สะดวกขึ้น  
องค์ประกอบของการสื่อสาร
          1.  ผู้ส่งข้อมูล (Sender) ทำหน้าที่ส่งข้อมูล
          2.  ผู้รับข้อมูล (Receiver) ทำหน้าที่รับข้อมูล
          3.  ข้อมูล (Data) ข้อมูลที่ผู้ส่งข้อมูลต้องการส่งไปยังผู้รับข้อมูล อาจอยู่ในรูปของข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหว
          4.  สื่อนำข้อมูล (Medium) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการขนถ่ายข้อมูล เช่น สายเคเบิล ใยแก้วนำแสง อากาศ
          5.  โปรโตคอล (Protocol) กฎหรือวิธีที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อการสื่อสารข้อมูลในรูปแบบตามวิธีการสื่อสารที่ตกลง กันระหว่าง ผู้ส่งข้อมูล กับ ผู้รับข้อมูล 
การใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร
          การสื่อสารข้อมูลในยุคปัจจุบัน ได้ตะหนักถึง ความสำคัญในการนำเทคโนโลยีคมนาคมและการสื่อสารมาช่วยงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงาน ซึ้งการประยุกต์เทคโนโลยีการสื่อสารในองค์การมีดังนี้ 
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail : E-mail)
          การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และพีดีเอ ส่งข้อความอิเล็กทรอนิกส์ไปยังบุคคลอื่น โดยการสื่อสารนี้บุคคลที่ทำการสื่อสารจะต้องมีชื่อและที่อยู่ในรูปแบบอีเมล์แอดเดรส  
โทรสาร (Facsimile หรือ Fax)
          เป็นการส่งข้อมูล ซึ่งอาจเป็นข้อความที่เขียนขึ้นด้วยมือหรือการพิมพ์ รูปภาพ หรือกราฟต่างๆ จากเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่มีอุปกรณ์ที่เรียกว่าแฟกซ์-โมเด็มไปยังเครื่องรับโทรสาร การส่งข้อความในลักษณะนี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและมีประสิทธิภาพสูงกว่าการส่งข้อมูลผ่านเครื่องโทรสารธรรมดา 
วอยซ์เมล (Voice Mail)               
          เป็นการส่งข้อความเป็นเสียงพูดให้กลายเป็นข้อความอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายการสื่อสารข้อความจะถูกบันทึกไว้ในอุปกรณ์บันทึกเสียงที่เรียกว่าวอยซ์เมล์บ็อกซ์ เมื่อผู้รับเปิดฟังข้อความดังกล่าวก็จะถูกแปลงกลับไปอยู่ในรูปแบบของเสียงพูดตามเดิม 
การประชุมทางไกลอิเล็กทรอนิกส์ (Video Conferencing)               
          เป็นการสื่อสารข้อมูลโดยการส่งภาพและเสียงจากฝ่ายหนึ่งไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง ในการใช้ Video Conferencing จะต้องมีอุปกรณ์สำหรับการบันทึกภาพและอุปกรณ์บันทึกเสียง โดยที่ภาพและเสียงที่ส่งไปนั้นอาจเป็นภาพเคลื่อนไหวที่มีเสียงประกอบได้ การประชุมทางไกลอิเล็กทรอนิกส์ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประชุม 
การระบุตำแหน่งด้วยดาวเทียม(Global Positioning Systems : GPSs)               
          เป็นระบบที่ใช้วิเคราะห์และระบุตำแหน่งของคน สัตว์ หรือสิ่งของที่เป็นเป้าหมายของระบบ การวิเคราะห์ตำแหน่งทำได้โดยใช้ดาวเทียมระบุตำแหน่ง ปัจจุบันมีการนำไปใช้ในระบบการเดินเรือ เครื่องบินและเริมพัฒนามาใช้เพื่อระบุตำแหน่งของรถยนต์ด้วย 
กรุ๊ปแวร์(groupware)               
           เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของกลุ่มบุคคลให้สามารถทำงานร่วมกัน การใช้ทรัพยากรและสารสนเทศร่วมกันโดยผ่านระบบเครือข่าย 
การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์(Electronic Fund Transfer : EFT)               
          ปัจจุบันผู้ใช้สามารถชำระค่าสินค้าและบริการโดยการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์จากบัญชีธนาคารที่ให้บริการโอนเงินอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย กิจกรรมที่ประยุกต์ใช้กันเป็นประจำ ได้แก่ การโอนเงินผ่านทางตู้ ATM 
การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์(Electronic Data Interchange : EDI)               
          เป็นระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างองค์การ โดยใช้แบบฟอร์มของเองกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่มีรูปแบบมาตรฐานสากล เช่น การส่งใบสั่งสินค้า ใบส่งของ ใบเรียกเก็บเงิน                 
 การระบุลักษณะของวัตถุด้วยคลื่นความถี่วิทยุ(RFID)
          เป็นระบบระบุลักษณะของวัตถุด้วยคลื่นความถี่วิทยุ ปัจจุบันมีการนำ RFID ไปประยุกต์ใช้งานหลากหลายประเภท เช่น ห่วงโซ่อุปทาน ระบบโลจิสติกส์การตรวจสอบฉลากยา การใช้ในฟาร์มเลี้ยงสุกร บัตรทางด่วน บัตรรถไฟฟ้าใต้ดิน ระบบหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์  
ชนิดของสัญญาณข้อมูล
1.  สัญญาณแอนะล็อก(Analog Signal)               
          เป็นสัญญาณแบบต่อเนื่อง มีลักษณะเป็นคลื่นไซน์ (Sine Wave) โดยที่แต่ละคลื่นจะมีความถี่และความเข้มของสัญญาณที่ต่างกัน เมื่อนำสัญญาณข้อมูลเหล่านี้มาผ่านอุปกรณ์รับสัญญาณและแปลงสัญญาณและแปลงสัญญาณก็จะได้ข้อมูลที่ต้องการ 
เฮิรตซ์  (Hertz) คือหน่วยวัดความถี่ของสัญญาณข้อมูลแบบแอนะล็อก วิธีวัดความถี่จะนับจำนวนรอบของสัญญาณที่เกิดขึ้นภายใน 1 วินาที เช่น ความถี่ 60 Hz หมายถึง ใน 1 วินาที สัญญาณมีการเปลี่ยนแปลงระดับสัญญาณ 60 รอบ                
2.  สัญญาณดิจิทัล(Digital Signal)               
          สัญญาณดิจิทัลเป็นสัญญาณแบบไม่ต่อเนื่อง รูปสัญญาณของสัญญาณมีความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ปะติดปะต่ออย่างสัญญาณแอนะล็อก ในการสื่อสารด้วยสัญญาณดิจิทัล ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นเลขฐานสอง (0และ1) จะถูกแทนด้วยสัญญาณดิจิทัล                 Bit Rate เป็นอัตราความเร็วในการส่งข้อมูลแบบดิจิทัล วิธีวัดความเร็วจะนับจำนวนบิตข้อมูลที่ส่งได้ในช่วงระยะเวลา 1 วินาที เช่น 14,400 bps หมายถึง มีความเร็วในการส่งข้อมูลจำนวน 14,4001 บิตในระยะเวลา 1 วินาที                
โมเด็ม(Modulator DEModulator หรือ Modem)                   
          โมเด็ม(Modem) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิทัลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก ความเร็วในการสื่อสารข้อมูลของโมเด็มวันเป็นบิตต่อวินาที (bit per second หรือ bps) ความเร็วของโมเด็มโดยทั่วไปมีความเร็วเป็น 56 กิโลบิตต่อวินาที 
ทิศทางการส่งข้อมูล(Transmission Mode) สามารถจำแนกทิศทางการส่งข้อมูลได้ 3 รูปแบบ
          1. การส่งข้อมูลแบบทิศทางเดียว (Simplex Transmission)
          2.  การส่งข้อมูลแบบสองทิศทางสลับกัน (Half-Duplex Transmission)
          3.  การส่งข้อมูลแบบสองทิศทางพร้อมกัน (Full-Duplex Transmission) 
ตัวกลางการสื่อสาร
          1.  สื่อนำข้อมูลแบบมีสาย(Wired Media)  สื่อข้อมูลแบบมีสายที่นิยมใช้มี 3 ชนิดดังนี้
          -  สายคู่บิดเกลียว (Twisted-Pair Cable)               
           สายคู่บิดเกลียว เป็นสายสัญญาณนำข้อมูลไฟฟ้า สายแต่ละเส้นมีลักษณะคล้ายสายไฟทั่วไป จำนวนสายจะมีเป็นคู่ เช่น 2 , 4 หรือ 6 เส้น แต่ละคู่จะมีพันบิดเกลียว การบิดเกลียวนี้จะช่วยลดสัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้นในการส่งข้อมูล ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้ไกลกว่าปกติ
          -  สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable)               
           สายโคแอกเชียล เป็นสายสัญญาณนำข้อมูลไฟฟ้า มีความถี่ในการส่งข้อมูลประมาณ 100 MHz ถึง500 MHz สายโคแอกเชียลมีความมเร็วในการส่งข้อมูลและราคาสูงกว่าสายบิดเกลียว
          -  สายใยแก้วนำแสง(Optical Fiber Cable)               
          สายสัญญาณทำจากใยแก้วหรือสารนำแสงหุ้มด้วยวัสดุป้องกันแสง มีความเร็วในการส่งสูงกับความเร็วแสง สามารถใช้ในการส่งข้อมูลที่มีความถี่สูงได้ สัญญาณที่ส่งผ่านสายใยแก้วนำแสง คือ แสง และ สัญญาณรบกวนจากภายนอกมีเพียงอย่างเดียว คือ แสงจากภายนอก 



          2.  สื่อนำข้อมูลแบบไร้สาย(Wireless Media) การสื่อสารข้อมูลแบบไร้สาย จะใช้อากาศเป็นตัวกลางของการสื่อสาร เช่น
          - แสงอินฟราเรด (Infrared)  เป็นการสื่อสารข้อมูลโดยใช้แสงอินฟราเรดเป็นสื่อกลาง การสื่อสารประเภทนี้นิยมใช้สำหรับการสือสารข้อมูลระยะใกล้ เช่น การสื่อการจากรีโมทคอนโทรลไปยังเครื่องรับวิทยุหรือโทรทัศน์
          -  สัญญาณวิทยุ (Radio Wave)  เป็นสื่อนำข้อมูลแบบไร้สาย (Wireless Media) ที่มีการส่งข้อมูลเป็นสัญญาณคลื่อนวิทยุไปในอากาศไปยังตัวรับสัญญาณ
          -  ไมโครเวฟภาคพื้นดิน (Terrestrial Microwave) เป็นการสื่อสารไรสายอีกประเภทหนึ่ง การสื่อสารประเภทนี้จะมีเสาส่งสัญญาณไมโครเวฟที่อยู่ห่างๆ กัน ทำการส่งข้อมูลไปในอากาศไปยังเสารับข้อมูล
          -  การสื่อสารผ่านดาวเทียม (Satellite Communication)  เป็นการสื่อสารจากพื้นโลกที่มีการส่งสัญญาณข้อมูลไปยังดาวเทียม โดยดาวเทียมจะทำหน้าที่เป็นสถานีทวนสัญญาณ เพื่อจัดส่งสัญญาณต่อไปยังสถานีภาพพื้นดินอื่นๆ ระยะทางจะโลกถึงดาวเทียมประมาณ 22,000 ไมล์